Page 144 -
P. 144
113
บทที่ 3 กำรวิเครำะห์สัมประสิทธิ์ค่ำบำท
113
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1
บทที่ 3 กำรวิเครำะห์สัมประสิทธิ์ค่ำบำท
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
113
บทที่ 3 กำรวิเครำะห์สัมประสิทธิ์ค่ำบำท
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1
1
=
2
2
a + a + 2a a r
1
2
1 2 g 1 g 2
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
1
=
113
a + a + 0
2
2
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1
บทที่ 3 กำรวิเครำะห์สัมประสิทธิ์ค่ำบำท
1
=
2
2
1
a + a + 2a a r
=
2
2a
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
1 2
1 2 g 1 g 2
1
=
a + a + 0
2
2
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1
1 √ = จะเป็นอิทธิพลของแต่ละเซลล์สืบพันธุ์
2 1
2 1
= =
1 a
a + a + 2a a r
1
2
=
1 2 g 1 g 2
2a
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
2
√2
2
1
=
2
2
a + a + 0
3. Correlated causes กล่ำวถึงในกรณีที่ g
1 √ = จะเป็นอิทธิพลของแต่ละเซลล์สืบพันธุ์
= F เป็นค่ำ
113
113
2 1
2 1
1 a
บทที่ 3 กำรวิเครำะห์สัมประสิทธิ์ค่ำบำทบทที่ 3 กำรวิเครำะห์สัมประสิทธิ์ค่ำบำท
บทที่ 3 กำรวิเครำะห์สัมประสิทธิ์ค่ำบำท
1
a + a + 2a a r
= = และ g มีควำมสัมพันธ์กัน นั่นคือ r
22
1
=
2
2
1 2 g 1 g 2
g 1 g 2
2a
√2
1
= nt
เลือดชิด หรือ inbreeding coefficie
อัตรำ
a + a + 0
2
2
√ = จะเป็นอิทธิพลของแต่ละเซลล์สืบพันธุ์
1
=
1
= F เป็นค่ำ
a
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกก
1ฎข้อที่ 1
2 ได้จำกกฎข้อที่ 1
1
3. Correlated causes กล่ำวถึงในกรณีที่ g และ g มีควำมสัมพันธ์กัน นั่นคือ r
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1 จะสำมำรถหำค่ำ a2
=
2a
√2
2
g 1 g 2
อัตรำเลือดชิด หรือ inbreeding coefficient
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
= F เป็นค่ำ
√ = จะเป็นอิทธิพลของแต่ละเซลล์สืบพันธุ์
3. Correlated causes กล่ำวถึงในกรณีที่ g
1
1
a
2
= และ g มีควำมสัมพันธ์กัน นั่นคือ r
1
= 1
1
=
g 1 g 2
2
2
√2 2
2
2 2
2
1 + a
a + a + 2a a r = + 2a a r
a
a + a + 2a a r
อัตรำเลือดชิด หรือ inbreeding coefficient
1
2
1
2
2
1
1 2 g 1 g 2
1 2 g 1 g 2
1 2 g 1 g 2
= 1
1
=
= 0
= F เป็นค่ำ
a + a + 0
2
2
2
2
2
2
a
a + a + 0 1 + a +
2
1
3. Correlated causes กล่ำวถึงในกรณีที่ g และ g มีควำมสัมพันธ์กัน นั่นคือ r
g 1 g 2
= 1
1
2a =
อัตรำเลือดชิด หรือ inbreeding coefficient
=
1
2a
2
2
2
2a
a = จะเป็นอิทธิพลของแต่ละเซลล์สืบพันธุ์
√ = จะเป็นอิทธิพลของแต่ละเซลล์สืบพันธุ์ = จะเป็นอิทธิพลของแต่ละเซลล์สืบพันธุ์
1
=
1
=
a
1
1
=
1
1
a
√
√
√2
2
√2
2
√2
2
= F เป็นค่ำ = F เป็นค่ำ
2 1
3. Correlated causes กล่ำวถึงในกรณีที่ g และ g มีควำมสัมพันธ์กัน นั่นคือ r
2
3. Correlated causes กล่ำวถึงในกรณีที่ g และ g มีควำมสัมพันธ์กัน นั่นคือ r3. Correlated causes กล่ำวถึงในกรณีที่ g และ g มีควำมสัมพันธ์กัน นั่นคือ r
1
1
2
g 1 g 2
g 1 g 2
g 1 g 2
อัตรำเลือดชิด หรือ inbreeding coefficient
อัตรำเลือดชิด หรือ inbreeding coefficient
อัตรำเลือดชิด หรือ inbreeding coefficient
โครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 113 = F เป็นค่ำ
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1 134 134 134 134 134
134
บทที่ 5 การวัดความสัมพันธ์
พันธุศาสตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์
พันธุศาสตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์ พันธุศาสตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์ พันธุศาสตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์ พันธุศาสตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต พันธุศาสตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์ 137
ทางเครือญาติ
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1 a + a + 2a a r
1
=
2
2
2
1
2) + (a′b′) m + (a′b′) m = = + (a′b′) m + (a′b′) m
ท�าการหาอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb
2
2
2
2
2 2
(a′b′) + (a′b′) + (a′b′) m + (a′b′) m a′b′) + (a′b′) + (a′b′) m + (a′b′) m m = a′b′) + (a′b′) (a′b′) m
2
2
2
1 2 g 1 g 222
m m
2
2 222
2
222
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต = (a′b′) + (a′b′) + 22 m = 22 m
( ()
(a′b′) + (a′b′ (a′b′) m +
= +(a′b′)
(a′b′) + (a′b′m m +(a′b′) m
1
2
2
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1 = a + a + 2a a F ′ 2 ′ ′ 2′ ′ 2 ′22 ′ 2(a b ) + 2(a′b′) m 22′ ′ 2 = b ) + 2(a′b′) m =
1 2
=
1
2 b ) + 2(a′b′) m = = b)+2(a′b′)m
2 ′2
′ ′ 22
2
F 1 = = 2(a a 2 + a + 2a a r 2(a b ) + 2(a′b′) m 2(a b ) + 2(a′b′) m = 2(a 2(a
=
2a + 2a a F
2
mb 1 2
1 2 g 1 g 2
=
2 (b + b m ) = m m)
m
1
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต ′22′ 22 1 2 2 ′ ′ ′ = (b + b ′ 2a′ (b + b m ) 2a′ (b + b m ) m = +bm ) 2 ′ 2 2a′ ′ 2 ′ 22 ′ ′ 2 ′ 2 ′ 2 ′ 2 2a′ (b ′ 2 = (b + b m ) 2a′ m = m
m
′ 2 ′
2 ′
2
2a′
2
a + a + 2a a F
1
,
,
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1 = ′ b = a + a + 2a a r , ′ ′ ′ ′ ′
,
2 2
=
a (b + 3b m )
2
1
2 2a (1 + F)
2
2 1 2
2
จากสูตร m′ จากสูตร m′
จากสูตร m′
=
1 =
FFF
= F
F
2
2a + 2a a F = =
1
=
1 2 g 1 g 2
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต 2 = ′ F จากสูตร m′ = จากสูตร m′ จากสูตร m′
2
,
,
,
2
2
1 ,
22
2
1
′ ′′
′
1 2
′
(ba ) (b + 3b m )
F′ F a 1 = = m′b′ F′ F′ 2 1 2 2 2 bb b m′b′ 22 2 b 2 F′ m′b′ = b m′b′ F′ = F′
b
= = =
a + a + 2a a F
2 2
2
2
m′b′ m′b′ =
2 2a (1 + F) = =
2(1+ 2
1
2F)
=
a + a + 2a a r
2
11
2a + 2a a F
แทนค่า 1 = แทนค่า แทนค่า 2 1 2 1 2 g 1 g 2 แทนค่า แทนค่า แทนค่า
1 2
a , 1 = = √ a + a + 2a a F
a
2 ,
1
2 2(1+F )
= =
1
2
2
2(1+F)
a
=
m m
m
2(1+F) + F)
2a′ (b + F′) = = (b+F′)
=
1 2 2
2a (1 ′ 2
2
′
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1 จะสำมำรถหำค่ำ a 2 ได้จำกกฎข้อที่ 1 2 2a′ (b + F′) 2a′ (b + F′) 2a′ 22 ′ 2 ′ 2 ′ 2 = 2 ′ 2 m 2a′ (b + F′) 2 = (b + F′) 2a′ m = จาก m จาก
1
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1 ,,
=
1 1+F
2a + 2a a F
1
จาก จาก
จาก
,
b
จาก
= =
1 2
a
=
√
2 2
a
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
2
1
2(1+F)
=
2(1+F)
2a (1 + F)
1
1
11
1
2 =
2
a′ a′
a′ a a 1 = = 1 2 11 = 2 2 a 2 1 2 g 1 g 2 2(1+F )2(1+F )2(1+F) 1 + a = = 1 √√√ a + a + 2a a r 2(1+F ) = √ a′ = a′
a′ √
√
2
= =
′
a + a + 2a a r = + 2a a r ′ ′′
′
′
1
2
1
2
1 2 g 1 g 2 2(1+F)
1 1
2(1+F)
a = √ 2(1+F ) 1 2 g 1 g 2
2
2(1+F)
1 = 1 2 = 2 a 2 1 + a 2 a + a + 2a a F
2(1+F)
a + a + 2a a F = + 2a a F
2
2
1 2
′′
′′′′
b′ b = = √ 1+F ′′ 1 1+F b′ b′ , 1 2 ′′ √√√ 1+F 1+F1+F = ′′ 1+F 1 2 b′ √ 1+F = √ b′ = b′
= =
1
a = √ 2 2 1 2 2 = 1 2 22 2 2 1 2 2
2a + =
2a + 2a a F
2(1+F) 2a a F 1 + 2a a F
= 1 2
2
2a
แทนค่า แทนค่า
แทนค่า
แทนค่า 1 = 1 2 = 2a 2 = 2a (1 + F) แทนค่า แทนค่า แทนค่า
2
2a (1 + F) 1 (1 + F)
,
2 ,
,
,
2a′ (b2a′ (b =
=
2 1 + F ) F)
2a′ (b m m
′ 2
(ba ) (b + 3b m )
m F a = = a ′ 2 = 2 ′′ a = ′ 22 ′ 2 ′ 2 ′ 2 1 + F ) + F ) 2a′(b + F ) 2 ′ ′ ′ 2 ′ m 2 = (b + F ) 2a′ m = m
2
2a′
2 1= = (b+
2
2
2
2(1+F) 2(1+F) 2(1+F)
2 ′′ , 2 2 2 2 2 2 2 2 ,, 2 22 , 22
1 1
1 1+F
a = )+ F′] = a F′] 1+F 1 1+F x + 3F [(√√ ′′′′ =
′′
′′
′′
1
1
1+F1+F
11
1
1+F1+F
1 1+F
) + F′] ) + F′]
√ × [(√ 2 (√ (√ = )×[(√ )+F′]
a = = ,
= ) )×[(√
) + F′] ) 2(√ )×[(√
= 2 (√
×) × [(= (√
2
= 2 2(√
) +
2
2
′
2(1+F) )2(1+F )2(1+F )
2(1+F) 2(1+F ) 2
2(1+F))
2 √ 2(1+F ′ 2(1+F ) 2 2 √ ′ 2(1+F ) ′ ′′ 2(1+F 22
,,
1
F = x 1 + F + 6F ,
′′ ′′
= 2 × 4 ′ 1 +2F ′′ ′ , 1+F 2 , , 1+F +2F1 +2F ′ = = ′ ′ 2 ×2 ×2× 1+F ′′ 111 1+F +2F = × ×× 2× × 1+F +2F1+F +2F1 ′′′′ = × ′ ′ =
××
2
2(1+F )2
= 1 + 6F + F ′ 21+F ) 2( 2 2(1+F )2(1+F )2(1+F)2 ′ ′ ′ ′ 2(1+F ) 22
8
′′
′
m ∆F = = 1+F +2F , ′ = = ′′ 1+F +2F1+F +2F1+F +2F ′′′′ ′ ′ ′ = ′′ ′ 1+F +2F ′′ m = 1+F +2F m = m
F - F
m m
′
2(1+F ) , , , , ′ 2(1+F )2(1+F )2(1+F ) ′ ′ ′ 2(1+F ) ′ 2(1+F )
1 + 6F + F
-
=
ท าการหาอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb ท าการหาอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb ท าการหาอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb าอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb 2 8 F 2 2 2 22 ท าการห (F) ได้จากสูตร F = mb ท าการหาอัตราเลือดชิด ท าการหาอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb
,
,,
จาก จาก
จาก = 1 + F + 6F - 8F , จาก จาก จาก
8
,
′ ′
=
1 - 2F + F
b ∆F = √ 1+F ′ b b ,, = = ′ 2 √√√ 1+F 1+F1+F = ′ 2 1+F ′ 2 b √ 1+F = √ b = b
22
8
2
ท าการแทนค่า m และ b ท าการแทนค่า m และ b ท าการแทนค่า m และ b ท าการแทนค่า m และ b ท าการแทนค่า m และ b ท าการแทนค่า m และ b
,,
1
,
= x (1 - 2F + F )
8
22
2
F = mb F F = = 2 mb mb = 2 2 F mb = mb F = F
mb
ส�าหรับการเพิ่มขึ้นของอัตราเลือดชิดในแต่ละรุ่นของแบบการผสมพันธุ์แต่ละแบบ selfing,
2
2 2
22
2
′′
′ ′
′′
′′′′ ′
′′
′
′
′′
′ ′
′
′
′ ′
′
1+F +2F1+F +2F1+F 1+F
1+F1+FF+2F
1+F +2F1+F
1+
1+F +2F
1+F +2F 1+F
=
× (√
× × (√
=
× (√ (√
) ) =
) (√
= × )
)
× (√ = = )
full-sibs และ half-sibs ตั้งแต่ชั่วที่ 0 ไปจนถึงชั่วที่ 100 พบว่า อัตราเลือดชิดจะเกิดมากที่สุดของการ
′
′ ′ ′
′
′
22+F )
2(1
2(1+F )
2 )
2(1+F ) 2
2(1+F )2(1+F )2(1+F 2
2
selfing 100 เปอร์เซ็นต์ที่ชั่ว 35 ส่วนการผสมพันธุ์แบบ full-sibs และ half-sibs จะมีอัตราเลือดชิด
′
′′
′′
′′′′ ′ ′
′ ′
′′
′
′′
′ ′
′ ′
′ ′
1+F +2F
1+F
1+F +2F1+F +2F1+F +2F
1+F +2F
1+F
1+F1+F
1+F1+F1+F +2F
= × × = = = × ×× × = =
′
′
′ ′ ′
มากที่สุดที่ 50 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ full-sibs จะเกิดที่ชั่ว 34 ตามจุดทศนิยม และ half-sibs จะเกิด
′
2
2
222(1+F ) 2
2
2(1+F )
2(1+F )
2(1+F )2(1+F )2(1+F )
ที่ชั่ว 81 ตามจุดทศนิยม ถ้าไม่ได้พิจารณาที่จุดทศนิยมปัดตัวเลขที่ selfing, full-sibs และ half-sibs
จะเกิดอัตราเลือดชิดสูงสุดชั่วที่ 8, 7 และ 17 ตามล�าดับ ตามตารางและภาพ