Page 141 -
P. 141
113
บทที่ 3 กำรวิเครำะห์สัมประสิทธิ์ค่ำบำท
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1
113
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1
1
=
2
a + a + 2a a r
2
1
1 2 g 1 g 2
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
1
=
2
2
a + a + 0
113
113
บทที่ 3 กำรวิเครำะห์สัมประสิทธิ์ค่ำบำท
บทที่ 3 กำรวิเครำะห์สัมประสิทธิ์ค่ำบำท
1
=
2
1
a + a + 2a a r
=
2a
2
2
1
1 2 g 1 g 2
1
=
a + a + 0
2
2
จะสำมำรถหำค่ำ a
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1 ได้จำกกฎข้อที่ 1
√ = จะเป็นอิทธิพลของแต่ละเซลล์สืบพันธุ์
1
=
a
1
=
2a
√2
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
= F เป็นค่ำ
1
1
1 =
a
=
2
3. Correlated causes กล่ำวถึงในกรณีที่ g และ g มีควำมสัมพันธ์กัน นั่นคือ r 2
2
2
1 = √ = จะเป็นอิทธิพลของแต่ละเซลล์สืบพันธุ์
a +
g 1 g 2 2a a r
2 a + a + 2a a r a +
2
1
1
2
1 2 g 1 g 2
1 2 g 1 g 2
√2
2
อัตรำเลือดชิด หรือ inbreeding coefficient
1
1
=
a + a + 0 =
a + a + 0
2
2
2
2
= F เป็นค่ำ
1
2a 1
3. Correlated causes กล่ำวถึงในกรณีที่ g และ g มีควำมสัมพันธ์กัน นั่นคือ r
1
2
=
=
2a
2
2
g 1 g 2
อัตรำเลือดชิด หรือ inbreeding coefficient
√ = จะเป็นอิทธิพลของแต่ละเซลล์สืบพันธุ์
√ = จะเป็นอิทธิพลของแต่ละเซลล์สืบพันธุ์
1
=
1
1
1
=
a
a
√2
√2
2
2
113
บทที่ 3 กำรวิเครำะห์สัมประสิทธิ์ค่ำบำท
1
2
3. Correlated causes กล่ำวถึงในกรณีที่ g และ g มีควำมสัมพันธ์กัน นั่นคือ r
3. Correlated causes กล่ำวถึงในกรณีที่ g และ g มีควำมสัมพันธ์กัน นั่นคือ r
1
2
g 1 g 2
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1
อัตรำเลือดชิด หรือ inbreeding coefficient
อัตรำเลือดชิด หรือ inbreeding coefficient
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
1
=
1นิกส์ด้านการเกษตร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โครงการหนังสืออิเล็กทรอ 2 2 1 1 2 2 บทที่ 3 กำรวิเครำะห์สัมประสิทธิ์ค่ำบำท = F เป็นค่ำ g 1 g 2 = F เป็นค่ำ
2
2
a + a + 2a a r
2
1 2 g 1 g 2
134
1
134 พันธุศาสตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์ 134 ห์สัมประสิทธิ์ค่ำบำท 134 113 พันธุศาสตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์ 134
134
บทที่ 3 กำรวิเครำะ
=
2
พันธุศาสตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์ พันธุศาสตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์ พันธุศาสตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์
a + a + 0
พันธุศาสตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์
2
134 พันธุศาสตร์ประชากร 2 = = (a′b′) m 2a 2 2 2 = +(a′b′) 2 2 2 2 2 (a′b′) + (a′b′) + (a′b′) m + (a′b′) m m = (a′b′) (a′b′) + (a′b′) 2 2 2 2 2 (a′b′) + 2 = 2 2 2 2 2 m + (a′b′) 2 = m
1
2
สำาหรับการปรับปรุงพันธุ์
2 จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1
=
m
m +(a′b′) m
(a′b′) + (a′b′) + (a′b′) m + (a′b′) m m+ (a′b′) m
m+ (a′b′) + (a′b′) + (a′b′) m + (a′b′) m (a′b′) +(a′b′)m+(a′b′)m
2
2
1
=
1
a
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
, ,
, ,
, ,
,
,
, ,
m
2
2
2
= = m =
2(a′b′) m
2(a b ) + 2(a′b′) m = )m + 2(a′b′) m
2 √2 2 2 2
′
2
2 ′ ′ 2 ′2
′ ′ 2
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1 √ = จะเป็นอิทธิพลของแต่ละเซลล์สืบพันธุ์ ′ ′ 2 2(a b ) + =
2
2 ′ ′
2
′ ′
2
(a b ) + (a b ) + (a b ) m + (a b ) m m = 2(ab)+2(a′b′) 2(a b )
2(a b ) + 2(a′b′) = 2(ab)+2(a′b′
1 , , 2 2 = a , , 2 ,
2
2 + a + 2a a r
=
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
=
= =
3. Correlated causes กล่ำวถึงในกรณีที่ g และ g มีควำมสัมพันธ์กัน นั่นคือ r + b m ) m = +bm) b m ) 2 ′ 2 ′ 2 1 2 2 2a′ (b = F เป็นค่ำ +bm) ′ ′ = ′ 2 ′ 2 m 2 2a′ (b = m
m
m
′ 2
m
′ 2 ′ ′ 21
′
′ ′ 2 ′
2(a b ) + 2(a b ) m 22′ 22 2
2
2′
′
′ 2 g 1 g 2
2a′ (b + b m ) 2a′ (b2a′(b+bm ) 2a′ (b +
1
2
g 1 g
2 1 ,
,
,
2 ,
2 =
2 a + a + 0
=
m
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1
1
อัตรำเลือดชิด หรือ inbreeding coefficient a + a + 2a a r ′ 2 2 = 2 ′ F = จากสูตร m′ 2 ′ F จากสูตร m′ = จากสูตร m′
จากสูตร m′
′ ′
′
จากสูตร m′
=
= =
จากสูตร m′
2 F F
2a (b + b m )FF
2
1 2 2 ,
F1
2
= 2
1 2 g 1 g 2
′ ′
=
′
′
′
,
2a
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต F′ 2 ′ b m′b′ = F′
b
bb 2
b b
=
m
จากสูตร
1
F′
=
2 ,
= =
2 + a + 2a a F m′b′ =
=
F′
F′
1 2 m′b′
F′ m′b′
a m′b′
b
2
2
2 2
2
2
= m′b′
,
1
2 ,
แทนค่า
1
=
1
แทนค่า F 1 = a + 2 , 2 a + 2a a r = จะเป็นอิทธิพลของแต่ละเซลล์สืบพันธุ์ แทนค่า
แทนค่า
2 a
แทนค่า
1
แทนค่า
√
= =
m b 2
1 2 g 1 g 2
2a + 2a a F 2 √2
1 2
1
m
แทนค่า
m
m
m + F′)
2 + a + 2a a F 2a′ (b + F′) 2a′(b+F′) (b + F′)
1
2
a2a′ (b + F′)
2 ′ 2 2 2
=
= =
′ 2
=
2
2 2
′
′
จะสำมำรถหำค่ำ a
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1 ได้จำกกฎข้อที่ 1 2 2 = ′ 2 ′ 2 2 m 2a′ (b + F′) = = F เป็นค่ำ = m
=
2a′ (b
2a′
2a (1 + F)
1 2
จาก
จาก
จาก
จาก
,
,
,
1
2
2
3. Correlated causes กล่ำวถึงในกรณีที่ g และ g มีควำมสัมพันธ์กัน นั่นคือ r
2 1
m
2
= =
2a (b + F ) F
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต จาก จาก
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
g 1 g 2
2a + 2a a
1
1 2
=
อัตรำเลือดชิด หรือ inbreeding coefficient
a
2
จาก a′ 1 1 = √ 2 a + a + 2a a r a + 1 = = √√ 2 1 = a + 2a a r = a′ √ 1 a′ √ = a′
2(1+F)
=
=
2+ F)
1
1 1
1
2a (1
a′
= √ a′
2
2
11
1
′ ′
1
2(1+F )F)
2(1+F )) )
a , a = = √1 2(1+F , 2 ′ 2(1+F 1 2 g 1 g 2 ′′ 2 2(1+ 1 2 g 1 g 2 ′ 2(1+F )
2
a 1 = = 2(1+F) 1 = 1 2 2 2 1 2
2
2(1+F ) a + 2a a F a + a + 2a a F
2
a +
′′
′′
1+F
1+F
b′ 1 = 2(1+F) ′′ = 1+F √√ 1+F ′′ = ′′ 1+F b′ √ = ′′ b′ 1+F √ = b′
b′
√ b′
,,
= √
1
=
1 1+F
1 2 =
b , a 134 = พันธุศาสตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์ สตร์ประชากรกับการปรับปรุงพันธุ์ 2 2a + 2a a F 2a + 2a a F พันธุศา 134 2
=
2
2
2 2
2
2
2
1 2
√
แทนค่า
2
แทนค่า แทนค่า 1 แทนค่า 2(1+F) 2 1 2a (1 + F) แทนค่า แทนค่า แทนค่า
2a (1 + F) =
=
′ ,
2 ′ ,
m a = = 2a′ 2 ′ 2 , 2 1 ′ 2 2 2 2 2 (a′b′) + (a′b′) + (a′b′) m + (a′b′) m m = a′b′) + = 2a′ ′ 2 1 + F ) 2a′(b + F ) 2 2 ′ 2 ′ 2 ( 2 2 ′ m = 2 ′ ′ 2 m + F ) 2 2a′ (b 2 = m
′ 2 ′
2a′ (b + F ) 2a′ (b=
m ) (b + F )
m m
= (b + F
= 2
m 2
2a (b + F ) (a′b′)
= +(a′b′)
= 2 m m+(a′b′)
a
2(1+F) 2(1+F)
2 2 2 ′′ = ) m 2 2(a b ) + 2(a′b′)2(ab)+2(a′b′ ′ 2 2 2 ′ 2 ′2 2 ′ 2 ′′ m = ,, 2 2 2 2 2 , 2 2
1 1+F
+ F′] ) ′′ = a = [(√ = = 2 (√ )+F′] 2 x + F F′] 2 (√ = )×[(√ 1 a ) = (√) × [(√+F′] 2 √ 1+F11 1+F ) ′′′′ ) +) × [(√ 1+F ′′ ) + F′] 2(√ =
1
1+F
11 11 1+F
1+F
,
= F′] × [(√
= × [(√
2 (√ ) +
)
√) ×2 (√
′
2(1 2 2
m = ) 2+(1+F ) 2′ 2 2a′ (b + b m ) = m
2 2+F )2(1+F ) 2 ′ 2
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1 2 2(1+F) ′′ 2(1+F )2(1+F) 2 2(1+F ) ′ ′ 2 2(1+F) ′ 2 ′ 2 ) ′ 2(1+F
′
′
2a′ (b + b m
,
,,
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต
1+F + 2F
จากสูตร m′ ′′ 2 x = 1 F ′ ′′ , ′′ ′′ ′ ′ ′ F ′ 1+F +2F 1+F+2F = ′′ ′′ ′ จากสูตร m′
x
′
= ′
1+F +2F 111+F +2F
2
1 = = 2 × 1+F +2F 2(1 + F ) × 2 × = × 2 2 ′ 1 1 1 b = × 1+F +2F 2 ′ ′ b 2 2(1+F ) 2 ′ ×2× 2 2 = × ′ 1 2(1+F ) 2 × =
=
′
2
a + a + 2a a r 2××
2 ×
1
F′
=
′ ′
1 2 g 1 g 2 2 2(1+F )2(1+F+F )
2(1+F )) 2(1
m′b′
2
2
,
, ,
2
1 + F + 2F
1
m แทนค่า a + a + 2a a F 2 m′b′ = F′ แทนค่า
= =
2
2
,
1 2
′′
2(1 + F ) ′′ ′
′′
1+F +2F
1+F +2F
=
m
m 1 = = 2a + 2a a F = 2 ′′ 1+F +2F1+F +2F ′ 2 ′ 2 ′′ ′ = 2 ′ ′′ 1+F +2F m = m ′ m ′′ 1+F +2F = m
m
m
2
′ ′ =
จะสำมำรถหำค่ำ a ได้จำกกฎข้อที่ 1
ท�าการหาอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb 2+F ) 2a′ (b + F′) 2a′(b+F′) 2(1 2(1+F )) ′ ′ 2(1+F = ′ 2(1+F )
1 2 ′
2(1+F ) )
2(1+F
จาก
1 จาก
=
2a (1 + F)
2
ก ำหนดให้ a เป็นอิทธิพลหรือสัมประสิทธิ์ค่ำบำทจำ 2 2ก เซลล์สืบพันธุ์ไปจีโนไทป์ หรือไซโกต ท าการหาอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb F = mb ท าการหาอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb
2
2
ท าการหาอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb ท าการหาอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb ท าการหาอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb
2
ท าการหาอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร
2
จาก 2 1 1 1
a + a + 2a a r =
a′
จาก a = 2(1+F) 1 = = √ 2(1+) F )F ′ ′ 2 2(1+ √ 1 2 g 1 g 2 จาก a′ จาก จาก
จาก
จาก
2
1
2
,
1 1+F ′ ′ 1
= = 1+F = ′ 2 1+F + 2a a F ′
2
′
′
=
b b b a = √ √ b √ 1+F = 1+F 1+F a + a ′′ = 1+F 1 2 b √ = b 1+F √ = b
2
2(1+F)
√√
′′
1+F
b′ 1 2 2= = 2a + 2a a F 2 √ = b′ 2
2 √
2
2
ท าการแทนค่า m และ b ท าการแทนค่า m และ b
ท าการแทนค่า m และ b
ท�าการแทนค่า m และ b 1 2 2 2 1 2 ท าการแทนค่า m และ b แทนค่า ท าการแทนค่า m และ b ท าการแทนค่า m และ b
แทนค่า
2
2
mb
mb
F F = F mb 2 2 = = 2a (1 + F) 2 F mb = F 2 mb = F
=
mb =
F = 2 m mb 2 2 = 2 2a′ (b +(b+F) ′ 2 1 ′ 2 ′ 2 2 2 2 F ) 2a′ ′ 2= 2 m
′′
a
′′
′ 1+F +2F ′ ′ ′ = ′′ ′ 1+F ′ ′′′ ′ ′ ′′ 1+F +2F 1+F 1+F ′ ′ ′ ′′ 1+F +2F
1+F +2F1+F
1+F1+F +2F1+F +2F
= ) = × (√ × ) = (√ 1+F 2(1+F) ) × (√) = ) (√ × =
× (√ (√
= × )
,,
′ ′ ,
22(1+F )) 2
2 2 2(1+F ) ′ 2 2 2(1+F 2 , ′ ′2 2(1+F 22 2 ′ 2(1+F )
2(1+F ) )
= + F′] ) ′′ 1+F +2F ) 1 1 1+F ) × [(√ = 1+F ′′ ) + F′]
1+F
1
,
a = ×[(√
× √
2(1+F )
= 2 (√
2 (√
1+F 2
′′ ′
′′
′′
′ 2
′′ ′ )
1+F +2F1+F 1+F +2F ′ ′ ′ 1+F ′ 2(1+F2(1+F ) ′ ′ 2(1+F) ′ ′ ′′ 1+F1+F +2F ′ 2 ′ 1+F ′ ′′ 1+F +2F
1+F 1+F +2F1+F +2F
,,
×
=
× =
= 1+F +2F , × ′ 1+F , = × ′ ′ × = × ′ =
′ ′
2(1+F ) )2 2(1+F )
= × 2 2 2(1+F 2 2(1+F )) 2 2(1+F 2 2(1+F )
,
′′
2(1+F ) 1+F+2F ′ = ′′ , 2 ×× 2 1 1 ×2× 1+F +2F ′
=
2 ,,
= 1+F +2F ′ 2(1+F )2(1+F ) ′ 2
4
′′ ′
m = 1+F +2F +2F ′ ′′ 1+F = m
2(1+F )) ′ ′ 2(1+F
ท าการหาอัตราเลือดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb ดชิด (F) ได้จากสูตร F = mb 2 2 ท าการหาอัตราเลือ
จาก จาก
b = √ 1+F ′ ′ 1+F √ = b
2 2
ท าการแทนค่า m และ b ท าการแทนค่า m และ b
2
F = mb 2 mb = F
2 2
′ 1+F 1+F +2F +2F ′ ′′ 1+F 1+F ′
′′ ′
) = × (√ × (√ = )
2 2(1+F )) ′ ′ 2(1+F 2
′ ′′ ′ ′ ′′ ′
1+F +2F +2F1+F 1+F1+F
= × × =
2 2(1+F )) ′ ′ 2 2(1+F