Page 125 -
P. 125

ื
                                             ์
                                                                  ิ
                                                                              ิ
                                          ิ
                               ิ
            โครงการหนังสออเล็กทรอนกสด้านการเกษตร เฉลมพระเกียรตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
                                                           110

                       ประชาชนในพื้นที่ ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กระเหรี่ยงที่อยู่ในพื้นที่ดั้งเดิม และส่วนหนึ่งเป็น
               ประชาชนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงหรือจากจังหวัดอื่นที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้มากกว่า 30 ปีที่ผ่านมา โดย

               การซื้อที่ดินจากผู้ถือครองเดิม


                       2) การประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรายได้

                                                                                                      ื
                       จากการสัมภาษณเชิงลึก เกษตรกรในพื้นที่ คทช. ป่าปลายห้วยกระเสียว คือ ทำการเกษตรปลูกพชไร่
                                     ์
               โดยเริ่มต้นจากการปลูกข้าวโพด หลังจากนั้นราว 30 กว่าปีที่ผ่านมาจึงเปลี่ยนเป็นการปลูกสับปะรด ซึ่งปัจจุบัน
               ยังคงมีการปลูกสับปะรดแทบทุกราย ต่อมาเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา เกษตรกรเริ่มหันมาปลูกยางพารา

               แต่ยังคงมีการปลูกสับปะรดกันอยู่อย่างแพร่หลายเนื่องจากเป็นอาชีพดั้งเดิม และเมื่อไม่นานมานี้ ผู้ที่มีเงินทุน
               เริ่มหันมาปลูกทุเรียน

                       การปลูกสับปะรด มีต้นทุนค่าหน่อ ค่าแรง การดูแลรักษา ค่ายา รวมต้นทุนประมาณไร่ละหมื่นกว่า

               บาท สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ปีละครั้ง ผลผลิตจะมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อ ซึ่งราคามักขึ้นอยู่กับโรงงาน
               หรือพ่อค้าคนกลางซึ่งเป็นราคาที่อ้างอิงมาจากโรงงาน เกษตรกรบางรายให้ข้อมูลว่าสามารถต่อรองราคาได้

               หากไม่พอใจก็จะเลือกขายให้ผู้ซื้อรายอื่นหรือพ่อค้าแม่ค้าที่รับไปขายเร่ ด้านรายได้ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับราคาใน
               แต่ละปี สมัยก่อนสามารถขายได้ในราคากิโลกรัมละ 7-8 บาท แต่ช่วงหลังมานี้ราคาไม่เกินกิโลกรัมละ 5 บาท

               บางปีราคากิโลกรัมละ 1-2 บาท ซึ่งทำให้เกษตรกรขาดทุน

                       การปลูกยางพารา เกษตรกรบางรายเริ่มหันมาปลูกยางพาราประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา สาเหตุ
               เนื่องจากเห็นว่าลงทุนเพียงครั้งเดียวซึ่งขณะนั้นซื้อต้นพันธุ์ต้นละ 30 บาท และบางส่วนได้รับแจกจากการยาง

               แห่งประเทศไทย (เดิมคือสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง) และใส่ปุ๋ยทุกปีปีละประมาณ 5,000 –

               6,000 บาท แต่เมื่อต้นยางพารามีอายุประมาณมากกว่า 10 ปีก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในระยะยาว
               เกษตรกรเริ่มทยอยแบ่งพื้นที่เพื่อปลูกยางพาราและยังคงปลูกสับปะรดอยู่บางส่วนเพื่อให้มีรายได้หมุนเวียนช่วง

               ที่ยางพารายังโตไม่พอที่จะกรีดได้ นอกจากนี้ บางรายให้เหตุผลว่าสาเหตุที่เปลี่ยนเป็นปลูกยางพาราเนื่องจาก
               พื้นที่ข้างเคียงปลูกยางพารากันหมดทำให้แดดส่องไม่ถึงไร่สับปะรดซึ่งต้องการแดด ทำให้ตนต้องปรับเปลี่ยน

               ตาม การเก็บน้ำยาง สามารถเก็บได้ปีละประมาณ 3-4 เดือน ขายน้ำยางได้ประมาณไร่ละ 1,700 – 3,000

               บาทต่อเดือน กรณีที่จ้างกรีดยางมีการแบ่งผลประโยชน์กับผู้รับจ้างกรีดในอัตรา 50:50
                       การปลูกทุเรียน เกษตรกรให้ข้อมูลว่าในชุมชนเริ่มมีเกษตรกรบางรายหันมาปลูกทุเรียนเนื่องจากมี

               รายได้ดี ผู้สัมภาษณ์อ้างว่ามีเกษตรกรรายหนึ่งในพื้นที่ปลูกทุเรียนมากว่า 10 ปี ประมาณ 2-3 ไร่ ล่าสุดทราบ
               ว่าสามารถขายผลผลิตได้ต้นละ 10,000 – 20,000 บาท จากการสัมภาษณ์เกษตรกรหลายราย มีความสนใจ

               อยากเริ่มปลูกทุเรียนและมีปัญหาด้านต้นทุนในการซื้อพันธุ์และต้นทุนในการขุดสระน้ำหรือขุดบ่อบาดาล

               เนื่องจากทุเรียนต้องการน้ำมากและสม่ำเสมอ
                       นอกจากนี้ ยังพบว่าเกษตรกรมีการปลูกปาล์มร่วมด้วย และบางรายยังคงแบ่งพื้นที่ปลูกข้าวในบางปี

               แต่เป็นเพียงการปลูกไว้กินเองเท่านั้น
   120   121   122   123   124   125   126   127   128   129   130